กนกวรรณ เสวาภพ พรนิภา อู่รัศมี

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

หลักสูตรประสบการณ์ (เพิ่มเติม) นางสาวพรนิภา อู่รัศมี นางสาวกนกวรรณ เสวาภพ


หลักสูตรประสบการณ์ (The Experience Curriculum)
หลักสูตรประสบการณ์และการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน

การจำแนกประเภทของหลักสูตร
ในปัจจุบันได้มีการจำแนกประเภทหรือรูปแบบของหลักสูตรไว้หลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีแนวคิดจุดมุ่งหมาย และโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้เพื่อให้หลักสูตรมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ การจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่หลากหลาย หรือเพื่อให้สนองเจตนารมณ์ของการจัดการเรียนรู้ลักษณะใดลักษณะหนึ่งตามระดับการศึกษา ดังนั้นหลักสูตรแต่ละรูปแบบจึงมีลักษณะเฉพาะของตนเอง รวมทั้งต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในรูปแบบของหลักสูตร (curriculum desigh)               แบบต่าง ๆ ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 10 รูปแบบได้ดียิ่งขึ้น จึงได้มีการจัดประเภทรูปแบบของหลักสูตร ตามเกณฑ์ที่ยึดเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. หลักสูตรที่ยึดสาขาวิชาและเนื้อหาสาระเป็นหลัก (disciplines / subjects curriculum) กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการจัดเนื้อหาสาระวิชาที่จะเรียน มีรูปแบบของหลักสูตร 5 รูปแบบ ดังนี้
                 1.1 หลักสูตรรายวิชา หรือหลักสูตรเนื้อหาวิชา (subject matter curriculum)
                 1.2 หลักสูตรกว้าง หรือหลักสูตรหมวดวิชา (broad field curriculum) หรือ
หลักสูตรหลอมรวมวิชา(fusion curriculum)
     1.3 หลักสูตรสัมพันธ์วิชา หรือหลักสูตรแบบสหสัมพันธ์ (correlated curriculum)
                 1.4 หลักสูตรแบบแกนกลาง หรือหลักสูตรแบบแกนร่วมกัน หรือหลักสูตรแบบแกน (core curriculum)
                 1.5 หลักสูตรแบบบูรณาการ (integrated curriculum)
2. หลักสูตรที่ยึดผู้เรียนเป็นหลัก (learners centred) หลักการของหลักสูตรนี้ยึด ผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดหลักสูตรเพื่อสนองความต้องการ ความสามารถและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก มีรูปแบบของหลักสูตร 3 รูปแบบดังนี้
                 2.1 หลักสูตรแบบเอกัตบุคคล (individualized curriculum)
     2.2 หลักสูตรแบบส่วนบุคคล (personalized curriculum)
                 2.3 หลักสูตรที่เน้นผู้เรียน (child – centered curriculum) หรือหลักสูตรที่ใช้
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (leaner – centred curriculum)
            3. หลักสูตรที่ยึดกระบวนการทางทักษะหรือประสบการณ์เป็นหลัก (process skill or experiencecurriculum) การจัดหลักสูตรประเภทนี้เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และให้ผู้เรียนได้รู้จักการแก้ปัญหา ถ้าเป็นหลักสูตรที่ยึดกระบวนการเป็นหลักจะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนมีรูปแบบของหลักสูตร 3 รูปแบบ ดังนี้
                 3.1 หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม หรือหลักสูตรที่ยึดกิจกรรมกระบวนการทาง
สังคมและการดำรงชีวิต (socialprocess and life function curriculum)
                 3.2 หลักสูตรประสบการณ์ (experience curriculum) หรือหลักสูตรแบบกิจกรรมและประสบการณ์ (activity and experience curriculum)
                 3.3 หลักสูตรกระบวนการ (the process approach curriculum)
                 3.4 หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ (the competency – based curriculum)

หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์ (experience curriculum) เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะแก้ไขการเรียนรู้แบบครูเป็นผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนซึ่งเป็นข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบเนื้อหาวิชา  หลักสูตรแบบนี้ยึดหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ และประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้” ดังนั้นการจัดหลักสูตรจึงเน้นเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน โดยวิธีการแก้ปัญหา ผู้เรียนต้องรู้จักวิธีการแก้ปัญหา แสดงออกด้วยการลงมือกระทำ  ลงมือวางแผน เพื่อหาประสบการณ์อันเกิดจากการแก้ปัญหานั้น ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเรียนแบบการเรียนรู้ด้วยการกระทำ ( Learning by Doing)

ลักษณะของหลักสูตรประสบการณ์
1. ความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวกำหนดเนื้อหา กิจกรรม หรือประสบการณ์ ต้องสอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน
2. วัตถุประสงค์ของการเรียนแบบนี้ เพื่อมุ่งปรับปรุงความเป็นอยู่ในปัจจุบันของเด็ก ยิ่งกว่าที่จะเตรียมตัวเพื่ออนาคต
3. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนคือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจร่วมกัน ดังนั้นจึงกำหนดเนื้อหาจากความสนใจของผู้เรียนเป็นคราว ๆ ไป ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
4. ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักในการจัดการเรียนรู้
5. มุ่งที่จะให้การศึกษาและเอาใจใส่ต่อนักเรียนเป็นรายบุคคล และส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคล
6. การเรียนแบบประสบการณ์ในต่างโรงเรียน ต่างชั้นกันย่อมไม่เหมือนกัน การเรียนแบบนี้นักการศึกษาทำไปต่าง ๆ  กัน แต่ก็สามารถรวบรวมเข้าเป็น 2 พวก คือ
     6.1 ใช้ปัญหาในชีวิตปัจจุบันเป็นหลัก คือให้ครูและเด็กร่วมมือกันวางโครงการที่จะหาและเลือกเอาปัญหาที่มีความหมายต่อผู้เรียน และเป็นปัญหาในชีวิตจริง ปัญหานี้จะต้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะ ความต้องการ และความสนใจด้วย
     6.2 ใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก สถานการณ์ที่จะจัดขึ้นสำหรับการเรียนแบบนี้จะต้องคำนึงถึง
            - เป็นสถานการณ์ที่ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความสามารถแสดงออกมา
                        - ให้เด็กได้ร่วมมือในกิจกรรมของสังคม หรือส่วนรวม
                        - ให้เด็กมีทักษะและความสามารถที่จะปรับตัวและจัดการกับสิ่งแวดล้อม

การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential Learning)
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน ครูต้องคำนึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญและพยายามให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการกระทำ ครูจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล  เน้นการแก้ปัญหา ครูต้องทำหน้าที่เป็น                      นักวางแผน นักจิตวิทยา นักแนะแนว และนักพัฒนาการ ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้              จะประเมินจากพัฒนาการของผู้เรียนในทุก ๆ ด้าน โดยยึดปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressivism)
            ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ ทิศนา  แขมมณี (2545:130 – 131)          ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

1. หลักการ
                ประสบการณ์เป็นแหล่งที่มาของการเรียนรู้และเป็นพื้นฐานสำคัญของการเกิดความคิด ความรู้ และการกระทำต่าง ๆ การเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ (Johnson & Johnson, 1975 : 7) สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนและมีความหมายต่อตน เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน จึงสามารถนำไปสู่การเรียนรู้เชิงนามธรรมอันจะส่งผลต่อการคิด การปฏิบัติหรือการกระทำใหม่ ๆ ต่อไป การที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงและค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อตนเอง และจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกผูกพัน ความต้องการและความรับผิดชอบทีจะเรียนรู้ต่อไป
            2. นิยาม
                การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ หมายถึง การดำเนินการอันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายโดยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ (experience) ที่จำเป็นต่อการเยนรู้ในเรื่องที่เรียนรู้ก่อน แล้วจึงให้ผู้เรียนย้อนไปสังเกต ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและนำสิ่งทีเกิดขึ้นมาคิดพิจารณาไตร่ตรองร่วมกันจนกระทั่งผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดหรือสมมติฐานต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ แล้วจึงนำความคิด หรือสมมติฐานเหล่านั้นไปทดลองหรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ต่อไป
            3. ตัวบ่งชี้
                3.1 ผู้สอนมีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (learning experience) ในเรื่องที่เรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้ลงไปประสบด้วยตนเอง
               3.2 ผู้เรียนมีการสะท้อนความคิด (reflect) และอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกับสิ่งที่ได้ประสบมา หรือเดขึ้นในสถานการณ์การเรียนรู้นั้น
              3.3 ผู้เรียนมีการสร้างความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมติฐานจากประสบการณ์ที่ได้รับ
              3.4 ผู้เรียนมีการนำความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมติฐานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น ไปทดลองหรือประยุกต์ใช้สถานการณ์ใหม่ ๆ
              3.5 ผู้สอนมีการติดตามผล และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนผลการทดลอง/ประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อขยายขอบเขตของการเรียนรู้ หรือปรับเปลี่ยนความคิด/หลักการ/สมมติฐานต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
              3.6 ผู้สอนมีการวัดและประเมินผล โดยใช้การประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองของผู้เรียน ประกอบกับการประเมินผลของผู้สอนด้วย

ข้อดีและข้อด้อยของการจัดหลักสูตรแบบประสบการณ์
ข้อดี
1. ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้มาก สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
2. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้รู้จักการวางแผนการเรียนด้วยตนเอง ได้มีโอกาสทดลอง แก้ไขปัญหาได้อย่างมีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบในตนเองต่อการศึกษา
3. ผู้สอนและผู้เรียนมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
4. สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
5. ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียน
6. มีความยืดหยุ่นในเรื่องของเวลา และวิธีจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย กิจกรรม การเรียนรู้ครอบคลุมเนื้อหาได้กว้างขวาง กระบวนการเรียนรู้เป็นไปตามขั้นตอน

ข้อด้อย
1. การจัดทำหลักสูตรทำได้ยาก
2. ถ้าครูผู้สอนไม่มีความกระตือรือร้น ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการสอน ขาดความเข้าใจในจิตวิทยาการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนแล้ว การจัดการเรียนรู้ก็ไม่ประสบ ความสำเร็จ
3. การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง หรือชีวิตจริงของเด็กแต่ละคนกระทำได้ยาก
4. เนื้อหาสาระที่ผู้เรียนได้รับ อาจจะไม่สัมพันธ์กับพัฒนาการของผู้เรียน หรือ ได้เนื้อหาสาระไม่ครบถ้วนและขาดความต่อเนื่องของความรู้ ไม่ได้รับความรู้เป็นกอบเป็นกำ หลักสูตรนี้ใช้ได้ดีกับผู้เรียนระดับประถมศึกษา เพราะสามารถจัดกิจกรรมหรือประกอบการเรียนรู้ได้ง่ายกว่าเด็กโต
5. ต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ เช่น ห้องเรียน สื่อการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆมิฉะนั้นการจัดการเรียนรู้จะไม่บังเกิดผล

การเปรียบเทียบการจัดการเรียนการสอนทางตรงกับการสอนแบบเน้นประสบการณ์
            การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ข้าพเจ้าจัดการเรียนการสอนแบบทางตรง               ซึ่งใช้ได้ดีกับเนื้อหาหลักภาษาไทย เพราะสามารถจัดเนื้อหาสาระอย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน จากขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นสูงที่ซับซ้อนขึ้น มีการยกตัวอย่างประกอบ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น  ส่วนการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ เป็นการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหว ใช้ความคิด ลงมือทำ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวรอบด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตามมา





















เอกสารอ้างอิง

ทิศนา  แขมมณี. (2545). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี
ประสิทธิภาพ (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
รูปแบบของหลักสูตร (Curriculum Design). ค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2553, จากเว็บไซต์
http://course-4.blogspot.com/2010/07/blog-post_8214.html.
สุชา จันทร์เอมและคณะ.(2517) .วิชาการศึกษาและจิตวิทยา ฉบับเตรียมสอบหลักการศึกษา
จิตวิทยาหลักการสอน (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แพร่พิทยา อินเตอร์
เนชั่นแนล.
หลักสูตรแบบต่าง ๆ. ค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2553, จากเว็บไซต์
http://learners.in.th/blog/supya/413865

หลักสูตรประสบการณ์ นางสาวพรนิภา อู่รัศมี นางสาวกนกวรรณ เสวาภพ




จังหวัดบึงกาฬ นางสาวพรนิภา อู่รัศมี นางสาวกนกวรรณ เสวาภพ นางสาวอภิชญา งอยภูธร


จังหวัดบึงกาฬ
1.จุดเด่นของจังหวัดบึงกาฬที่จะมาใส่ในหลักสูตรท้องถิ่น สรุปได้ดังนี้
1) ภาคภูมิศาสตร์
อาณาเขตติดต่อ
บึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บึงกาฬมีอาณาเขตติดกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้
ทิศเหนือ : ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นแนวพรมแดน
ทิศตะวันออก : ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและจังหวัดนครพนม
ทิศใต้ : ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร
ทิศตะวันตก : ติดต่อกับนครหลวงเวียงจันทน์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและจังหวัดหนองคาย
ภูมิประเทศ
บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 765 กิโลเมตร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป โดยแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จัดตั้งเป็นจังหวัดลำดับที่ 76 ของประเทศไทย
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศที่จังหวัดบึงกาฬค่อนข้างดี เพราะได้อิทธิพลจากแม่น้ำโขงทำให้อากาศไม่ร้อนมากในช่วง            ถดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศดีเหมาะแก่การท่องเที่ยว และพักผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ จังหวัดบึงกาฬมักจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจองห้องพักต่อเนื่อง มีลักษณะอากาศจัดอยู่ในจำพวกฝนแถบร้อน และแห้งแล้ง (ธันวาคม – มกราคม) ในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะเริ่มลดในเดือนพฤศจิกายนและต่ำสุด                ในเดือนช่วงธันวาคมถึงเดือนมกราคม  ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมเป็นฤดูเปลี่ยนมรสุมเหนือ  อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนมีนาคม และร้อนจัดในเดือนเมษายน ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (มิถุนายน – กรกฎาคม)อุณหภูมิโดยทั่วไปจะลดลงในเดือนตุลาคมเป็นฤดูเปลี่ยนมรสุมใต้ อุณหภูมิจะเริ่มลดลงจนอากาศหนาวเย็น


2) ประวัติศาสตร์
จังหวัดบึงกาฬเดิมเป็น อำเภอบึงกาฬ และเป็นตำบลหนึ่งในเขตการปกครองของอำเภอชัยบุรี จังหวัดนครพนม  ซึ่งมีที่ว่าการอำเภอ ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำสงคราม ต่อมาไม่ทราบชัดว่าปีใด ทางราชการได้ย้าย              ที่ว่าการอำเภอ มาตั้งที่บึงกาญจน์ริมฝั่ง ตรงข้ามเมืองปากซัน แขวงบลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปี พ.ศ.2459 ทางราชการ ก่อสร้าง ที่ว่าการอำเภอขึ้นใหม่ และโอนการปกครองอำเภอชัยบุรีมาขึ้นกับจังหวัดหนองคาย ส่วนบริเวณที่ตั้ง ที่ว่าการอำเภอชัยบุรีเดิมนั้น ทางราชการยุบมาเป็นตำบลอยู่ในเขตการปกครอง            ของอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมปี พ.ศ.2475 ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่อำเภอชัยบุรี พบว่า หมู่บ้านบึงกาญจน์ มีหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง กว้างประมาณ 160 เมตร ยาวประมาณ 3,000 เมตร ชาวบ้าน เรียก “บึงกาญจน์” เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ทางการจึงเปลี่ยนชื่ออำเภอชัยบุรีเป็น “อำเภอบึงกาญจน์” ตั้งแต่ นั้นมา ต่อมาปี พ.ศ.2477 ทางการได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอบึงกาญจน์ เป็น”อำเภอบึงกาฬ” เพื่อความสะดวกและ เข้าใจง่าย ต่อมาได้แยกอำเภอเซกา อำเภอพรเจริญ อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจาก            อำเภอบึงกาฬ  ตามลำดับ
จังหวัดบึงกาฬ จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป โดยแยกอำเภอจำนวน 8 อำเภอ ได้แก่อำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย
จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537แต่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาในขณะนั้น และได้มีการนำสู่กระบวนการพิจารณาอีกครั้ง โดยผ่านมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งจึงจะมีผลโดยสมบูรณ์การร้องขอจัดตั้งถูกขอตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย



3) ศาสนา
ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ ร้อยละ 85 ของจำนวนประชากรทั้งหมดภายในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ ประชากรที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ ร้อยละ 15                   ของจำนวนประชากรทั้งหมดภายในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬวัดภายในเขตเทศบาล มี 3 แห่ง คือ วัดภูมิบาลวัฒนา (วัดเหนือ), วัดบุพพราชสโมสร (วัดกลาง) และวัดศรีโสภณธรรมทาน (วัดใต้)

คำขวัญประจำจังหวัดบึงกาฬ
ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณี                แข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง

4) สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบึงกาฬ
1. หินสามวาล


ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี หนึ่งเดียวของโลก เมื่อมองดูจากระยะไกล หินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ ที่ประกอบด้วยพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ซึ่งเรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน ทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในภูสิงห์ มองเห็นผืนป่า ทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขงและภูเขาเมืองปากกระดิง ประเทศลาว สวยงามเกินคำบรรยาย







2 .ภูทอก


เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง บริเวณโดยรอบภูทอกล้อมรอบด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและเงียบสงบ และมีสะพานไม้สร้างวนขึ้นไปสู่ยอดเขารวมทั้งหมด              7 ชั้น เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิและถ้ำที่อยู่ตามหลืบผา จากด้านบนนักท่องเที่ยวจะมองเห็นความสวยงาม   ของภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งถ้าในวันที่อากาศแจ่มใส อาจมองได้ไกลถึงเทือกเขา                 ในเขตจังหวัดนครพนม

3.น้ำตกถ้ำพระ


ตั้งอยู่บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ตัวน้ำตกถ้ำพระ                    แบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ ได้แก่ ช่วงแรกจะเป็นธารน้ำตกไหลลดหลั่นลงสู่แอ่งน้ำกว้าง (นักท่องเที่ยวคนไหน              จะเล่นน้ำตรงส่วนนี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะน้ำจัดได้ว่าค่อนข้างลึกพอสมควร) ถัดมาช่วงกลางของน้ำตก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กินพื้นที่ยาวไปจนถึงฝายทดน้ำ น้ำค่อนข้างตื้น และส่วนสุดท้ายเป็นบริเวณเหนือฝาย   ขึ้นไป จุดนี้ถือเป็นไฮไลท์เด็ดของน้ำตก เพราะคุณจะได้เห็นน้ำตกกว้างสีขาวลอยฟูฟ่อง ซึ่งเป็นต้นธารที่ไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง จุดนี้จะเห็นนักท่องเที่ยวที่ทั้งขึ้นมาชมน้ำตก และลงเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก

4. น้ำตกเจ็ดสี


ตั้งอยู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว เป็นหนึ่งในน้ำตกสวย ๆ ของบึงกาฬที่เป็นที่นิยม                               ของนักท่องเที่ยว ทั้งยังมีจุดให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำด้วยกันหลายจุด ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งส่วนของร้านค้าและเครื่องดื่มมากมาย หากแต่นักท่องเที่ยวควรเพิ่มความระมัดระวัง                     เพราะเส้นทางเดินค่อนข้างชัน บางช่วงทางเดินค่อนข้างลื่น ดังนั้นอย่าได้ประมาทเวลาเดินเด็ดขาด โดยช่วงที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวน้ำตกเจ็ดสี จะอยู่ในช่วงฤดูฝน-ต้นฤดูหนาว







5. แก่งอาฮง


ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดอาฮงศิลาวาส ถือเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดและจะยิ่งเชี่ยวในช่วงฤดูน้ำหลาก กระแสน้ำจะไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแม่น้ำโขง" อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่นชิว ๆ อีกทั้งยังเป็นสถานที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง "บั้งไฟพญานาค" ในช่วงประเพณีออกพรรษา ซึ่งแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมปรากฏการณ์นี้กันเป็นจำนวนมาก

6. ล่องแพหนองเลิง


               ตั้งอยู่ในบริเวณหนองเลิง ตำบลดอนหญ้านาง อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่ได้รับความนิยมในช่วงหน้าร้อน มีลักษณะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม กิจกรรมท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นที่นี่ส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวจะลงมาเล่นน้ำเย็น ๆ หรือไม่ก็มาล่องแพ เพื่อหลบอากาศร้อน โดยจะมีแพ              ไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ได้ล่องชมธรรมชาติสวย เพลินตากับบัวแดง บัวขาว และนกนานาชนิด รวมถึงมีอาหารพื้นบ้านอร่อย ๆ ไว้คอยบริการยามหิว

7. หาดคำสมบูรณ์

หาดคำสมบูรณ์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่เทศบาลตำบาลบึงโขงหลง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ที่บึงโขงหลงแห่งนี้ นอกจากจะมีชายหาดทอดยาวเหมาะแก่การเล่นน้ำของเด็ก ๆ และผู้ใหญ่แล้ว ยังเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์นก  โดยเฉพาะนกเป็นน้ำ ห่านป่า นกยาง นกกระเด็นที่จะอพยพมาชั่วคราวในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจุดชมนกจะอยู่ที่ดอนสวรรค์  อีกทั้งยังมีร้านค้ามากมาย อาหารก็อร่อย ไม่ว่าจะเป็นปลาเผากุ้งเผา            แป๊ะซะปลา แจ่วฮ้อน กุ้งเต้น และยำชนิดต่าง ๆ พร้อมซุ้มไพรหญ้าให้บริการอยู่ริมน้ำ ทำให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่จะมีผู้คนมาเยือนเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาล

8. อุทยานแห่งชาติภูลังกา


                 อุทยานแห่งชาติภูลังกาครอบคลุมพื้นที่ของตำบลไผ่ล้อม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม                       และอำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ช่วงฤดูท่องเที่ยวจะอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีดอกไม้ กล้วยไม้ป่า และรองเท้านารีบานสะพรั่งบนยอดภูลังกา ภายในอุทยานมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ทั้งเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เที่ยวถ้ำต่าง ๆ เช่น ถ้ำยา ถ้ำพ่อหง่า ถ้ำตาทัด ถ้ำเกีย และถ้ำอาจารย์วัง เป็นต้น                 หรือจะเป็นน้ำตก เช่น น้ำตกกินรี น้ำตกตาดขาม น้ำตกตาดโพธิ์ เป็นต้น หรือจะเดินทางพิชิตยอดภูลังกา                                    ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และตกดิน

5) ต้นไม้ประจำจังหวัด : ต้นชิงชัน
6) ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกสิรินธรวัลลี









7) ประเพณีประจำจังหวัด 
1 .บุญบั้งไฟ

บุญบั้งไฟจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประเพณีดั้ง เดิมของชาวอำเภอบึงกาฬ โดยเป็นการส่งเสริมประเพณีศิลปะวัฒนธรรมของท้องถิ่นและช่วยส่งเสริมการท่อง เที่ยวของอำเภอบึงกาฬ โดยจะมีขบวนแห่บั้งไฟของชุมชนต่าง ๆ ในเทศบาลตำบลบึงกาฬ เช่น ชุมชนบึงกาฬกลาง             ชุมชนบึงกาฬไต้ ชุมชนบึงกาฬเหนือ ชุมชนศรีโสภณ และชุมชนวิศิษฐ์โดยเทศบาลจัดให้มีการประกวด               ขบวนแห่เซิ้งบั้งไฟทุกปี






2. ประเพณีสงกรานต์


เมื่อวันที่ 13 เม.ย. เทศบาลตำบลบึงกาฬ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ได้จัดพิธีแห่นางสงกรานต์สรงน้ำพระ                 ไปรอบ ๆ ตัวเมือง โดยมีขบวนแห่ของชุมชนจาก 6 คุ้มเข้าร่วมขบวน โดยมีขบวนแห่พระพุทธรูป องค์หลวงพ่อพระใหญ่จำลองแห่งวัดบ้านท่าไคร้ ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองอายุกว่า 2000 ปีนำหน้าเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นก็ตามด้วยขบวนผู้สูงอายุ ขบวนฟ้อนรำ ขบวนละเล่นพื้นเมือง และขบวนนางสงกรานต์ ท่ามกลางแสงแดดอันแผดจ้า ตลอดระยะเส้นทางขบวนมีประชาชนคอยละเล่นสาดน้ำเป็นระยะบรรยากาศ            เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ สนุกสนาน                            
    
 3. แห่เทียนเข้าพรรษา


แห่เทียนเข้าพรรษา เป็นงานประจำปีของจังหวัดในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยมีการหล่อเทียนพรรษาและประดับตกแต่งเทียนอย่างสวยงาม มีการจัดขบวนแห่ของแต่ละคุ้ม มาประกวดแข่งขันกัน



4. ประเพณีแข่งเรือยาว


ประเพณีแข่งเรือยาวจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่แม่น้ำโขง
มีมากโดยการแข่งขันเรือยาว ประเพณีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ                                                               
1. เรือยาวประเภทท้องถิ่นกำหนดฝีพายตั้งแต่ 46-55 ฝีพาย
2. เรือยาวเล็กกำหนดฝีพายตั้งแต่ 15-25 ฝีพาย               
โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมากมาย ทั้งมาจากต่างจังหวัด สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เวียดนาม เข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย                                 

5. งานไหลเรือไฟ หรือบั้งไฟพญานาค


งานไหลเรือไฟ หรือบั้งไฟพญานาค เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งนิยมทำกันในเทศกาลออกพรรษา ซึ่งทางจังหวัดหนองคายจะทำในคืนก่อนวันออกพรรษาหนึ่งคืนโดยยังคงรักษารูปแบบ ประเพณีเดิมอย่างเคร่งครัด โดยจะใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ต้นกล้วย ไม้ไผ่ ทำเป็นแพ แล้วมัดไม้          เป็นโครง รูปร่าง    ต่าง ๆ หลายขนาดบางลำยาว 10 วา 12 วา หรือ 15 วา กลางโครงเรือจะมีเครื่องสักการบูชา เช่น ผ้า, เครื่องใช้และของกิน เช่นกล้วย, อ้อย, หมาก,พลู ฯลฯ เมื่อจุดไฟแล้วจะปล่อยลำเรือให้ไหลล่องไปในแม่น้ำโขง ถือเป็นการทำบุญกุศลทางพระพุทธศาสนาตลอดจนเป็นการบูชาพญานาค ตามความเชื่อของประชาชน           ลุ่มน้ำโขง

2. บูรณาการการเรียนการสอน
สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น เช่น
1. ภาษาไทย : ภาษา 8 ชนเผ่า
2. คณิตศาสตร์ : ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ประชากร  เกาะ ดอน ดินฟ้าอากาศ ที่ทำกิน อาชีพ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
3. วิทยาศาสตร์ : วิธีทำเกษตร การดูแลสภาพป่าต่าง ๆ การแปลรูปอาหาร
4. สังคมวิทยา :  ศาสนาวัฒนธรรม ประเพณี วัฒนธรรมของคน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหาร อาชีพ และเศรษฐกิจสังคม
5. สุขศึกษา พลศึกษา : คุณค่าทางโภชนาการ กิจกรรมที่ทำร่วมกัน
6. ศิลปะ : สินค้า OTOP  ได้แก่ เสื่อกก  ไม้กวาดดอกหญ้า ผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ กระติบข้าว ผ้าไหมมัดหมี่
7. การงาน อาชีพ และเทคโนโลยี :                การเกษตร อาชีพของประชากร ธุรกิจของประชากร
8. ภาษาต่างประเทศ : ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเวียดนาม

3. นำเนื้อหามาผสมผสานกับเนื้อหาในหลักสูตรใหม่ อาจทำได้หลายลักษณะ เช่น
                ก) ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปทำ เช่น การทำสินค้าโอท็อป ทำแล้วจัดจำหน่ายอย่างไร
                ข) ใช้เป็นรายงานหรือโครงงาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับปัญหาในชุมชน                   หรือในจังหวัดของตนเอง
                ค)ใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
                ง) ใช้เป็นประเด็นเรื่องคนบึงกาฬ อพยพมาจากที่ไหน และมาจากที่ไหนมากที่สุด
                จ) ใช้เป็นสถานที่ไปทัศนศึกษา เช่น ภูทอก วัดอาฮงศิลาวาส
                ฉ) ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปฝึกทำ เช่น การทำสินค้าโอท็อป ทำแล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร และจัดจำหน่ายอย่างไร